คนเราเกิดมา มีปัญญาสูงต่ำไม่เท่ากัน มีโอกาสในการศึกษาไม่เท่ากัน แต่ขงจื๊อเห็นว่าในชีวิตประจำวันคนเราสามารถค่อยๆ สร้างสมพัฒนาสติปัญญาให้ได้ด้วยตนเอง
โดยการเปลี่ยนปรับวิธีคิดเสียใหม่
เลิกคิดปรุงแต่ง และคิดถึงเรื่องไร้สาระ
และหันมาพิจารณาเฉพาะเรื่องที่เป็นประโยชน์แทน ดังนี้
‘ มนุษย์ที่แท้ จะต้องพิจารณาอยู่เสมอว่า ทำอย่างไร เราจึงจะมองอะไรแล้วสามารถจะเห็นและเข้าใจสิ่งนั้นทะลุปรุโปร่ง
และเมื่อได้ยินอะไรแล้ว ทำอย่างไรเราจึงจะฟังให้เข้าใจได้หมด
ซึ่งก็คือการใช้สมาธิตั้งใจดู ตั้งใจฟัง นั่นเอง
ปัญหาของจำนวนมาก คือ ดู เห็น ฟัง แล้วเข้าใจไม่หมด
ตีความผิด ตีความเข้าตนเอง เอาตนเองเป็นที่ตั้งอยู่ตลอด
ถ้าแก้ไขจุดนี้ได้ เราก็จะมีฐานข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำ
ซึ่งต้องใช้ประกอบการคิด การตัดสินใจต่อไป
‘ อย่าคิดกังวลว่าใครจะยอมรับยกย่องเราหรือไม่
แต่ให้เป็นกังวลมากๆ ว่า ขณะนี้เรายังขาดคุณสมบัติข้อใด
ที่ทำให้ยังไม่เป็นที่ยกย่องของผู้คน
และอย่าเป็นกังวลว่าคนอื่นจะไม่รู้จักนิสัยใจคอของเรา แต่ให้กังวลว่าตัวเราจะไม่รู้จักนิสัยใจคอของคนอื่นดีกว่า
จุดนี้คือ ขงจื๊อต้องการให้คนเราเน้นการพิจารณา
เข้าใจ และปรับปรุงตนเอง
ในขณะที่แนวโน้มของคนโดยทั่วไปจะชอบ "ส่องนอก ไม่ส่องใน"
และใช้เวลาไปกับการจับผิด วิพากษ์วิจารณ์คนอื่นเสียมาก
‘ เวลาเห็นช่องทางได้ผลประโยชน์
ต้องคิดถึงความยุติธรรมด้วย
ขงจื๊อเห็นว่า
มนุษย์เรามีแนวโน้มจะคิดแบบเห็นแก่ได้
และตัดสินใจผิดพลาด เมื่อผลประโยชน์ส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้อง
ดังนั้น เพื่อจะไม่ทำผิดคุณธรรม
คนเราต้องพิจารณาเรื่องความยุติธรรมอยู่เสมอๆ
ความยุติธรรมที่ให้พิจารณาก็คือ
หลักการง่ายๆ ถ้าเราไม่ชอบอะไร รังเกียจอะไร
ก็จงอย่าทำกับคนอื่นแบบนั้น คิดได้แค่นี้
‘ นอกจากนี้ ขงจื๊อยังให้ข้อเตือนใจไว้ว่า
เกิดมาเป็นมนุษย์ต้องหัดคิดการณ์ไกล
เพื่อจะได้ไม่ต้องหลงทาง
นอกจากนี้ เวลาร่ำเรียนศึกษาก็ต้องหัดคิดตาม
เพราะคนที่ศึกษาหาข้อมูลต่างๆ โดยไม่คิด
ย่อมไม่ฉลาดมากนัก
ในทางตรงกันข้าม คนที่เอาแต่คิดวิเคราะห์สิ่งต่างๆ
โดยไม่ชอบศึกษาหาข้อมูล ก็จะเป็นเพียงการคาดเดาหรือ speculation ย่อมจะคิดผิดพลาดได้ง่ายๆ ดังนั้น คนเราต้องหัดฝึกฝนการคิดและการศึกษาหาข้อมูลไปพร้อมๆ กัน
เป็นแง่คิดที่ดีสมควรนำมาประยุกใช้ในชีวิตประจำวันอยูอเสมอๆ
ตอบลบ