พื้นฐาน 5 ประการของพุทธนิกายเซน
(1) ความจริงสูงสุดเป็นสิ่งที่ไม่สามารถแสดงได้ด้วยคำพูด ความจริงสูงสุดของเซนเป็นสิ่งที่ไม่สามารถแสดงออกได้ด้วยคำพูดหรือตัวหนังสือ ดังคำพูดของเซนที่ว่า "การส่งมอบพิเศษนอกคัมภีร์ ไม่ต้องอาศัยคำพูดหรือตัวหนังสือ" ซึ่งก็ตรงกับคำพูดในปรัชญาเต๋าที่ว่า "เต๋าเป็นสิ่งที่ไม่อาจเรียกได้ด้วยคำพูด เต๋าที่เรียกได้ด้วยคำพูดไม่ใช่เต๋าที่แท้จริง" และ "ผู้พูดไม่รู้ ผู้รู้ไม่พูด" พุทธะอันสูงสุดนั้นคือธรรมชาติอันแท้จริงที่มีอยู่ภายในชีวิตของเรานี้เอง เมื่อคำพูดและความคิดปรุงแต่งหยุดลง ธรรมชาติดังเดิมก็พลันปรากฎดังนั้นเซนจึงมุ่งหวังในเรื่องประสบการณ์ ความตื่นของชีวิตมากกว่าคำพูด ประสบการณ์นี้เรียกว่า "ความว่าง" หรือ "ธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะ" หรือ ธรรมชาติดั้งเดิม เปรียบเสมือนการดื่มน้ำ ร้อนหรือเย็นรู้ได้โดยไม่ต้องบอก
(2) การฝึกฝนในทางธรรม เป็นสิ่งที่ไม่อาจฝึกได้ (ด้วยความพยายามที่เกิดจากการปรุงแต่ง) ในความคิดปรุงแต่งใดๆก็ตาม จะมีความรู้สึกที่มีตัวตนประสมอยู่ด้วยเสมอ ทำให้เกิดการแบ่งแยกระหว่างสิ่งที่เป็นภายในกับสิ่งที่เป็นภายนอก และทำให้เกิดความยึดมั่นผูกพันกับวัตถุภายนอก ความพยายามที่เกิดจากการปรุงแต่ง ไม่ว่าจะเป็นการฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า การท่องพระสูตร การบูชาพระพุทธรูป การประกอบพิธีต่างๆนั้น โดยแท้จริงแล้วเป็นสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ ตรงข้าม บุคคลควรปล่อยจิตใจให้เป็นอิสระ เฝ้าดูและขจัดกระแสแห่งความคิดปรุงแต่ง และจะต้องเข้าถึงธรรมชาติของความเป็นเอง การปฎิบัติธรรมที่แท้จริงจึงเกิดขึ้นได้
(3) ผลบั้นปลายสุดท้าย ไม่มีอะไรที่ใหม่ ประสบการณ์ของความตื่น ความรู้สึกตัวถึงเอกภาพอันแบ่งแยกมิได้ของสรรพสิ่งทั้งมวล การเห็นแจ้งธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะภายในของตน เหล่านี้ไม่ได้หมายความว่า ได้อะไรมาใหม่ เพียงแต่เป็นการรู้แจ้งบางสิ่งบางอย่างที่มีอยู่ในตัวเองตลอดเวลาเท่านั้น ปัญหามีเพียงว่าที่เราไม่ได้รู้สึกตัวถึงสิ่งนี้เป็นเพราะอวิชชาของเราเอง ในภาวะของความตื่น เมื่อตัวตนที่ปรุงแต่งถูกขจัดออกไป ธรรมชาติในส่วนลึกลับอันแอบเร้นลับปรากฎตัวขึ้นแทนที่และผู้กระทำจะกระทำสิ่งต่างๆอย่างปราศจากตัวตนและอย่างเป็นกันเอง
(4) "ไม่มีอะไรมากในคำสอนทางพุทธศาสนา" แท้จริงแล้วนั้น ส่งที่เรียกว่าความคิด ลัทธิ และคำพูด ไม่มีความหมายแต่อย่างใด สิ่งสำคัญที่สุดเพียงประการเดียวคือ ประสบการณ์ของความตื่นเท่านั้น ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าพระพุทธเจ้า ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าชาวพุทธ และไม่มีแม้กระทั่งสิ่งที่เรียกว่าพุทธศาสนา เพราะตราบใดที่ยังยึดติดในสิ่งเหล่านี้ก็ยังไม่อาจรู้แจ้งความเป็นจริงในสิ่งทั้งหลายอยู่ตราบนั้น
(5) ในขณะที่กำลังหาบน้ำ ผ่าฟืน นั่นแหละ เป็นขณะแห่งการสัมผัสกับชีวิตทางธรรม การตรัสรู้นั้นไม่จำกัดอยู่ในรูปแบบใด ในขณะแห่งการทำงาน ในชีวิตประจำวันก็อาจเป็นขณะแห่งการตรัสรู้ได้ ธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะเป็นสิ่งสากล เราอาจพบมันได้ในทุกหนทุกแห่ง ดังบทเพลงจีนบทหนึ่งที่ว่า
ทันทีที่พระอาทิตย์ขึ้น
ทันทีที่พระอาทิตย์ตกดิน
เราขุดบ่อน้ำ
เราไถหว่านบนผืนดิน
อำนาจอะไรของเทพเจ้า
เราเริ่มต้นทำงาน
เราพักผ่อน
และเราดื่ม
และเรากิน
จะมาเกี่ยวข้องกับเรา
ซึ้งครับ
ตอบลบชอบตรงใจ
ตอบลบอ่านแล้วทำให้เราคิดจินตนาการไปตามเนื้อหาก็รู้สึกปล่อยวางดี
ตอบลบไม่ได้เรื่อง
ตอบลบแล้วคุณได้เรื่องพอหรือยัง ประสบความสำเร็จในชีวิตหรือยัง รู้จักคำว่าพอแล้วหรือยัง คิดง่ายๆด่าตัวเองใช่ปะ
ลบคำว่าไม่ได้เรื่องของคุณแค่คนเดียวบางทีอาจจะทำให้คนหลายๆคนไม่พอใจอีกด้วย เเล้วอีกอย่างถ้าคุณไม่ชอบแล้วจะมาดูทำเพื่อ
ลบคุณคือคนที่น่ารังเกรียดในตอจี้เพราะในเมื่อคุณไม่เชื่อคุณก็ไม่น่ามาพูดไม่ดี
ลบเค้าแค่เข้ามาสอบอารมณ์คุณรึป่าว
ลบ55555
ลบน่าจะใช่นะ ดูแล้ว ไม่น่าสนใจจริงๆ เหมือน ใบไม้แห้งที่ไร้ประโยชน์ แต่พยายามทำตัวให้มีจุดเด่นขึ้นมา ไม่น่าสงสารหรือน่าเวทนา แต่น่าละเลย
ลบ"ผู้พูดไม่รู้ ผู้รู้ไม่พูด"
ลบขอโทษครับ ท่านอาจารย์
ลบศาสนาของพวกโง่ เห็นว่าง่าย เป้นคำพูดที่หูลลาา ใช้คำพูดที่เหนือเมฆ ลวงคนอื่นๆๆที่โง่กว่าตนเท่านั้นเอง
ตอบลบค่ะ :D
ลบก็ไม่รู้สินะคะถ้าคุณคิดว่าคุณแสดงสันดานเช่จี้แล้วมีความสะขก็ตามใจ
ลบว่าคนอื่นโง่ ตัวคุณนั่นแหละที่ทั้งโง่และเลว จิตใจต่ำทรามมากๆ สงสัยโตมาโดยไม่มีพ่อแม่อบรมสั่งสอน
ลบความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
ลบคำว่าโง่ที่หลุดออกจากปาก หรือความคิดอันตื้นเขิน เป็นการเบียดเบียนผู้อื่น ผู้นี้ย่อมไม่มีแม้แต่ศาสนาไว้คอยยึดโยง
ลบมองเห็นแค่ตัวเอง ผมมองไม่เห็นอะไรในตัวคุณเลยนอกจากฐิถิความทนงตัว คุญมันไม่มีอะไรเลย
ลบขอบคุณครับ อาจารย์
ลบคนที่ดูถูกศาสนาผู้อื่นเนี่ยเป็นคนน่ารังเกียจนะครับ
ตอบลบถึงผมจะไม่ใช่เซน แต่ก็ไม่เคยหมิ่นใคร
ทุกศาสนามุ่งให้ทุกคนทำความดี ละความชั่ว วิธีการไม่เหมือนกัน แต่จุดมุ่งหมายเดียวกัน
ตอบลบทุกคนมีความรู้ความสามารถไม่เท่ากัน การเข้าถึงหลักการศาสนา ไม่เหมือนกัน มีความแตกต่างกันไป ขอให้ทุกคนอย่าถืออัตตาชี้ใครผิดใครถูกเลย
ตอบลบการไม่ได้เรื่องเป็นเพราะผู้นั้นที่ไม่ได้เรื่องต่างหาก
ตอบลบทุกเรื่องทุกราวย่อมมีสาระอยู่ในตัวไม่มากก็น้อย
อยู่ที่ว่าผู้นั้นจะมีปัญญาเลือกใช้หรือไม่อย่างไร
ปภัสโร
ถูกต้องแล้ว ถ้าได้เกิดเป็นคนต้องมีศาสนายึดเหนี่ยวถือปฏิบัติเป็นมาตรฐาน
ตอบลบการใปวิจารณ์ในสิ่งที่ตนไม่รู้จริงเป็นการประมาทในเรื่องความนึกคิด
ปภัสโร
ผู้พูดไม่รู้ ผู้รู้ไม่พูด
ตอบลบผู้ไม้ได้กินความเค็ม บอกให้ตายอย่างไร มันก็ว่า ความเค็มไม่มี
บางทีเบาอาจจะรู้ก็ได้นะแล้วคุณรู้ได้เช่นไรว่าเขาอาจจะไม่รู้ขนาดคนตาบอดยังรู้ได้โดยไม่ต้องมองแต่เขาฝึกฝน
ลบมันเช่นนั้นเอง....????
ลบจิตเดิมเป็นประภัสสร แล้วแต่จะมีวิถีทางขจัด อวิชชา กันเช่นไร
ตอบลบ"เป็นความเชื่อส่วนตัวครับ"
ถูกคะ จิต เดิม เป็นปภัสสร ต่อมา ตัวเราได้ปรุงแต่งจิต ตัวเองไป ต่างๆ จนสุดท้าย ต้องหาทาง ให้จิตเป็นปภัสสร เช่นเดิม ก่อนจะสิ้นชีวิต หากทำได้ อาจได้ไปนิพพาน คือ ไม่กลับมาเวียนว่าย ในวัฎสาร อีก
ลบคนไม่รู้-คนไม่ผิด
ตอบลบแต่ความผิดมันติดตัวคนทำ
รู้วาง บางสิ่ง
ตอบลบรู้นิ่ง สงบ
รู้ตน ค้นพบ
รู้จบ ที่ใจ
แค่แหย่นิดเดียว ก็รู้เลยว่า
ตอบลบคนที่คิดว่า ได้เรื่อง ที่จริงก็ ไม่ได้เรื่อง
^_^
จริงของคุณ จริงๆก็ไม่ควรว่าใคร หรือ อะไรทั้งสิ้น ใครจะมาไม้ไหน ที่จริงควรจะเฉยๆๆๆๆ
ลบธรรมชาติดั้งเดิมแท้แล้ว ไม่มีทั้งคำว่าไม่ได้เื่รื่อง และได้เรื่อง มันเป็นของมันเช่นนั้นเอง..(ลัทธิพรต)
ลบความคิดแบบเชนนั้นแหละแก่นแท้แต่จะไปทางไหนก็ไปถึงได้เหมือนกัน
ตอบลบการทำอะไรโดยไม่เบียดเบียนผู้อื่นแม้แต่จะทำให้อีกฝ่ายคิดมาก เป็นการกระทำโดยถูกต้องมั้ยครับ
ตอบลบลมพัดใบไม้ย่อมไหวเป็นธรรมดา
ตอบลบสาธุ
ลบจิตที่ขุ่นมัวเป็นเพราะยึดติดหากไม่มีให้ยึดติดจิตจะขุ่นมัวได้อย่างไร
ตอบลบจิตเป็นเช่นนั้นเหรอครับ คนไม่โง่ครับ
ตอบลบแล้วความเค็มในความคิดคุณเป็นเช่นไร
ตอบลบอารมณ์ 6 นั้นแล หากละได้ อุปทาน ตันหา ก็คลายลงได้ ความสว่างก็เกิดได้เสมอ
ตอบลบอารมณ์ 6 นั้นแล หากละได้ อุปทาน ตันหา ก็คลายลงได้ ความสว่างก็เกิดได้เสมอ
ตอบลบมานะ ทิฐิ มีกันทุกคน สุดแต่ใครจะมีมากน้อย ก็เท่านั้น!
ตอบลบเมื่อท่านคิด ท่านไม่ว่าง
ตอบลบแม้ท่านคิดถึงธรรมมะ ท่านก็ยังไม่ว่าง
แม้ท่านคิดหาทางออกจากกิเลสโลภโกรธหลง ท่านก็ยังไม่ว่าง
แม้ท่านปฏิบัติธรรมเพื่อบรรลุธรรม ท่านก็ยังไม่ว่าง
เมื่อท่านเลิกคิด ท่านว่าง
เมือ่ท่านคิด แล้วท่านวาง แล้วมันจะว่างโดยอัตโนมัต
ตอบลบเมือ่ท่านคิด แล้วท่านวาง แล้วมันจะว่างโดยอัตโนมัต
ตอบลบปลายทางแห่งพุทธเป็นความว่าง ปลายทางของพุทธจึงเป็นเซน
ตอบลบอยากเข้าใจเซนให้มากขึ้นจะทำยังงัย
ตอบลบเส้นทางมีหลายทางให้เดิน เป้าหมายเดียวกันคือนิพพาน พุทธเถรวาทมหายานเซนเต๋าดีหมดครับ ขึ้นอยู่ที่ตัวเราอย่างเดียว ไม่ต้องเถียงกันลงมือทำแล้ว มีความเพียร ดูตัวเราอย่างเดียว. ขอให้พบกันทุกคน จะได้หมดสงสัย ตัวปัญญาคือจบ
ตอบลบความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
ตอบลบไม่มีต้นโพธิ์ ทั้งไม่มีกระจกเงาอันใสสะอาด เมื่อทุกสิ่งว่างเปล่า ฝุ่นจะลงจับอะไร ท่านเว่ยหล่าง
ตอบลบความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
ตอบลบความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
ตอบลบบรมอาจารย์ผู้เผยแผ่พุทธนิกายเซนก็คือพระพุทธเจ้าของเราได้ถ่ายทอดแก่พระมหากัสสปและองค์ที่ 2 คือพระอานนท์จนถึงองค์ที่ 28 คือพระโพธิธรรมหรือตั๊กม้อนำมาสู่ประเทศจีนอีก 6 ท่าน ลองคิดดูทำไมพระพุทธองค์มอบจีวรและบาตรให้มหากัสสปและกล่าวไว้ว่ามหากัสสเป็นผู้ได้รับธรรมจากเราแล้วและพระอานนท์ผู้เลิศในพระธรรมผู้ชำระพระไตรปิฎก 84000 ธรรมขันธ์แต่ก็มิอาจบบรรลุอรหันต์ตราบได้การแสดงธรรมแบบวิถีเซนของมหากัสสปหรอกหรือถึงได้บรรลุ
ตอบลบความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
ตอบลบความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
ตอบลบคำสอนว่าให้ปล่อยวางแท้ๆ อยู่ด้านบน
ตอบลบเรายังจะตีกันเองซะแล้ว
หัวใจของพุทธคือ ปล่อยวาง นะ มีแค่นี้แหละ
คำสอนของพุทธหลายๆนิกายแตกต่างกัน แต่หัวใจสำคัญมีแค่นี้เอง
เรียบง่าย แต่ทำยาก
นอนเหอะ พรุ่งนี้ดวงอาทิตย์ ก็มาไห้เราเห็นอีก
ตอบลบเรียนรู้กันไป..คำตอบขึ้นอยู่กับปัญญาของแต่ละคนธรรมชาติอยู่ของเขา เราต่างหากที่กำหนดไปตามประสบการ์ณของเรา..เซนไม่ตอบ ไม่ตัดสิน..ให้มันเป็นไป..เฝ้าดูอย่างไร้เดียงสา
ตอบลบปัญญาคือความสว่างในจิต จิตสว่างคือเซนนั่นเอง เมื่อมีเซนความมืดก็จะสุญไป ความสุขและความสงบก็คืนมา สุดท้ายกรรมที่เราสร้างก็หมดไป ทุกอย่าจบแล้วครับ
ตอบลบขอบคุณที่ให้ความไว้วางใจในการให้บริการออนไลน์สำหรับการช่วยเหลือเงินกู้ 200,000 ยูโรเพื่อเริ่มต้นครอบครัวของฉันภายใน 24 ชั่วโมงหากคุณสนใจที่จะกู้เงินด่วนในอัตราต่ำติดต่อ Trustloan Online Services ที่: {trustloan88 @ g m a l l. c o m}
ตอบลบว่าง...เปล่า....
ตอบลบ